วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

Alessandro Scarlatti

อเลสแซนโดร สคาร์ลัตตี (Alessandro Scarlatti)
เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1660 ที่เมืองพาเลอร์โม (Palermo) นครหลวงของซิซิลี (Sicily) เขาเกิดมาในครอบครัวที่เป็นนักดนตรี ในปี ค.ศ. 1627 เขาเดินทางไปยังกรุงโรมขณะที่มีอายุเพียง 12 ขวบ ได้เข้าเรียนวิชาดนตรีกับครูคนหนึ่งชื่อ คาริสซิมิ (Giacomo Carissimi ค.ศ. 1605-1674) นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงชาวอิตาเลียน และเป็นบุคคลสำคัญในยุคเริ่มต้นของเพลงประเภท Oratorio และ Cantata อเลสแซนโดรเรียนกับครูคนนี้อยู่เพียง 2 ปี ครูก็ถึงแก่กรรม เขาจึงได้ไปเรียนกับโจวานนี เลเกรนซี (Giovanni Legrenzi ค.ศ. 1626-1690) และอเลสแซนโดร สตราเดลลา(Alessandro Stradella ค.ศ. 1642-1682) นักแต่งเพลงชาวอิตาเลียน
อเลสแซนโดร สคาร์ลัตตีเริ่มมีชื่อเสียงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเขานำอุปกรณ์เรื่อง L’errore Innocente (หรือ Gli equivoci nel sembiante) ซึ่งแต่งขึ้นเองออกแสดงเป็นครั้งแรกที่กรุงโรม เมื่อ ค.ศ. 1679 จากการแสดงอุปกรณ์ในครั้งนี้ เป็นผลให้พระราชินีคริสตินาแห่งสวีเดน (Queen Christina of Sweden) ซึ่งประทับอยู่ในกรุงโรม ทรงสนพระทัยในตัวเขามาก จึงได้ตกลงจ้างเขาให้เป็นผู้กำกับวงดนตรีประจำโรงละครส่วนพระองค์ อเลสแซนโดรทำงานให้พระนางคริสตินาเป็นเวลา 4 ปี คือตั้งแต่ ค.ศ. 1680-1684 และได้แต่งเพลง L’onesta negli amori (ค.ศ. 1680) Il Pompeo (ค.ศ. 1683) และหลังจากนั้นเขาก็ได้เดินทางไปเมืองเนเปิลส์ (Naples) และเปิดการแสดงเพลง Il Pompeo ที่นั้นเมื่อ ค.ศ. 1684 หลังจากแสดงเรื่องนี้แล้วเขาก็ได้รับตำแหน่งผู้กำกับวงดนตรีของราชสำนักเมืองเนเปิลส์ ทำงานตั้งแต่ ค.ศ. 1684-1702 ในระหว่างที่อยู่กรุงโรมนั้น เขามีครอบครัวแล้ว มีลูก 5 คน ชาย 3 คน หญิง 2 คน พอย้ายมาอยู่เมืองเนเปิลส์ได้เพียงปีเดียว เขาก็ได้ลูกคนที่ 6 เป็นชาย ซึ่งเขาได้ตั้งชื่อว่า โดเมนีโค สคาร์ลัตตี (Domenico Scarlatti) ซึ่งต่อมาเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
อเลสแซนโดทำงานอยู่ที่ราชสำนักเมืองเนเปิลส์เป็นเวลานานถึง 18 ปี จึงลาออกไปอยู่ที่ ฟลอเรนซ์ ในระหว่างปี ค.ศ 1702-1703 โดยได้ทำงานเป็นนักแต่งเพลงประจำโรงละครอุปกรณ์ของเจ้าชายเฟอร์ดินันโด ที่ 3 เดอ เมดิซี (Prince Ferdinando III de Medici) แห่งทุสคานี (Tuscany) ทำงานอยู่ได้ปีเดียวก็ย้ายกลับไปอยู่ที่โรมอีกและได้ตำแหน่งเป็นครูผู้ควบคุมหมู่นักร้องเด็ก ๆ ในโบสถ์ (Choirmaster) ที่โบสถ์ซันตามาเรียในกรุงโรม (Santa Maria Maggiore in Rome) สืบต่อจาก Ant.Foggia ในขณะเดียวกันก็ได้เป็นนายวงดนตรีให้แก่ คาร์ดินัล ปิโตร ออตโตโบนี (Cardinal Pietro Ottoboni) ค.ศ. 1709 ก็ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่เมืองเนเปิลส์อีกระยะหนึ่ง และได้ไปเป็นผู้กำกับวงดนตรีให้แก่
ออสเตรียน ไวซ์รอย (Austrian Viceroy) จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของสถาบันการดนตรี Conservatory di Sant’ Onofrio และในขณะเดียวกันนั้นก็ได้ไปเป็นครูสอนดนตรีให้แก่สถาบันการดนตรี
ซันมาตาเรียดิลอเรโท (Conservatorio di Santa Maria di Loreto) อีกด้วย ค.ศ. 1719 กลับมาที่โรมอีก อยู่ที่นี่ประมาณ 5 ปี พอถึง ค.ศ 1723 ก็เดินทางไปอยู่เนเปิลส์อีกหลังจากนั้นอีก 2 ปี คือ วันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1725 เขาก็ถึงแก่กรรม
งานของอเลสแซนโด สคาร์ลัตตีที่สร้างขึ้นนั้นได้รับอิทธิพลจาก Carissimi Pasquini Legrenzi และ Stradella อิทธิพลเหล่านี้จะพบในอุปกรณ์และเพลง Chamber Cantatas เพลงเหล่านี้ของเขาได้รับความนิยมจากผู้ฟังมาก
ผลงานของท่านถือเป็นรอยต่อที่สำคัญระหว่างยุคของเพลงร้องสไตล์อิตาเลียนต้นบาโรค ศตวรรษที่17 กับยุคคลาสสิคในศตวรรษที่18 ผลงาน Opera ในยุคแรก ๆ ของท่านอาทิ
Gli Equivoci Nel Sembiante (1679) มีการใช้การประพันธ์แบบ recitatives (บทเจรจาที่มีดนตรีประกอบ) แต่ในช่วงหลังปี1686 ท่านได้เริ่มรูปแบบการประพันธ์เพลงแบบ Italian Overture โดยยกเลิกการใช้ Ground Bass และ binary form และเปลี่ยนไปเป็นแบบ Da Capo หรือ ternary form แทน ผลงานเด่นๆของท่านในช่วงนี้เช่น La Rosaura (1690), Pirro e Demetrio (1694)
ในช่วงหลังปี1697 ท่านได้รับอิทธิพลจาก Giovanni Bononcini นักแต่งเพลงยุคบาโรคผู้มีชื่อเสียงอีกท่าน ทำให้ผลงานต่อๆมาของท่านมีจังหวะที่เรียบง่ายมากขึ้น มีการใช้โอโบ และทรัมเป็ตในบทเพลง และไวโอลินมักจะเล่นเป็นคู่ unison ในผลงาน Teodora(1697)ท่านได้ริเริ่มการใช้ orchestral ritornello(นำpassage เดิมกลับมาเล่นซ้ำในท่อนแรกหรือท่อนสุดท้าย) รวมถึงในผลงาน Neapolitan Operas ยุคหลัง ๆ ของท่านอาทิ Mitridate Eupatore(1707), L'amor volubile e tiranno (1709), La principessa fedele (1710) ได้มีประพันธ์ดนตรีที่เน้นเทคนิคและความลึกซึ้งของดนตรีที่มากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากสมัยตอนต้นที่เน้นรองรับอารมณ์ของคำร้องมากกว่า ซึ่งแสดงถึงการพัฒนาบทบาทของดนตรีบรรเลง
ท่านได้ประพันธ์ chamber-cantatas สำหรับร้องเดี่ยวกว่า500ชิ้น และบทเพลง mass อีกกว่า 200 ชิ้น ผลงานเอกอย่าง St Cecilia Mass (1721) ของท่านยังส่งอิทธิพลต่อ Mass ของ Bach และ Beethoven อีกด้วย


Domenico Scarlatti
เกิดที่เนเปิลส์ อิตาลี วันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1685 เสียชีวิต มาดริด สเปน 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1757
โดเมนีโค สคาร์ลัตตีเป็นนักดนตรี และนักแต่งเพลงชาวอิตาเลียน เขาเรียนดนตรีเบื้องต้นจากพ่อของเขาและสามารถแต่งเพลงได้เมื่ออายุ 10 กว่าปี พออายุได้ 17 ปี ก็ได้รับตำแหน่งเป็นนักออร์แกนประจำ Royal Chapel เนเปิลส์ ขณะที่มีอายุเกือบ 20 ปี พ่อเขาได้ให้โดเมนีไปขอสมัครทำงานกับเจ้าชายเฟอร์ดินันโด เดอ เมดิชิ ซึ่งเขาอยู่กับเจ้าชายประมาณ 3 ปี ก็เดินทางไปเวนิส ที่เวนิสนี่เองเขาได้เรียนดนตรีเพิ่มเติมอีกกับฟรังเซสโก กัสปารินี และ เบอร์นาร์โด ปกาสควินี นอกจากนั้นยังได้มีโอกาสรู้จักกับแฮนเดลจนกลายเป็นเพื่อนที่รักใคร่กันมากและได้เดินทางไปกรุงโรมด้วยกัน และไปอยู่ในความอุปถัมภ์แก่อเลสแซนโดรพ่อของโดเมนีโคมาแล้ว ขณะที่อยู่กรุงดรมในระหว่างปี ค.ศ. 1709 โดเมนีโคก็ได้เล่นฮาร์พซิคอร์ด และชื่อเสียงก็โด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปในกรุงโรม
ในระหว่างปี ค.ศ. 1715 – 1719 เป็นผู้อำนวยการดนตรีอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์ และในระยะนี้ก็ได้ท่องเที่ยวไปทั่วยุโรป ค.ศ. 1719 – 1721 เป็นนักเล่น Cembal อยู่ที่ Italian Opera London และที่นี่เขาก็ได้นำอุปรากรเรื่อง Narciso ที่เขาแต่งออกแสดงในปี ค.ศ. 1720 ต่อจากนั้นก็ไปเป็นนักเล่น Cembal ประจำอยู่ที่ราชสำนักของกษัตริย์โปรตุเกสในระหว่างปี ค.ศ. 1721 – 1725 และขณะเดียวกันก็ต้องไปสอนดนตรีให้แก่บรรดาเจ้าหญิงแห่งเมืองลิสบอนด้วย ในปี ค.ศ. 1725 – 1729 กลับมาอยู่ที่เนเปิลส์อีก ค.ศ. 1729 – 1754 ประจำอยู่ ณ ราชสำนักกษัตริย์สเปน และได้เป็นครูสอนดนตรีให้แก่บรรดาเจ้าหญิงแห่งออสเตรียด้วย โดยเขาใช้เวลาอยู่ที่นี่ถึง 25 ปี ในระหว่างที่ทำงานอยู่ที่นี่ก็ได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังดับลิน ลอนดอน นอกจากนั้นยังใช้เวลาว่างสอนดนตรีให้แก่ผู้ที่มาสมัครเป็นลูกศิษย์ของเขาอีกด้วย
จากการท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ทั่วยุโรปนี่เอง ทำให้งานของเขาที่แต่งขึ้นมานั้น ส่วนมากเป็นเพลงพื้นเมืองของอิตาลีและสเปนที่ฟังไพเราะจับใจมาก